ไข้หวัดนก H7N9 คืออะไร
จากที่ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่าไข้หวัดนกนั้นมีสาเหตุมาได้จากเชื้อไวรัสซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไข้หวัดนกที่เป็นที่กล่าวถึงในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็คือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H7N9 ซึ่งพบว่าเป็นไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดระบาดขึ้นในประเทศจีน ในช่วงปี 2556
สาเหตุของไข้หวัดนก H7N9
เชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza) ชนิด A โดยพบว่าผู้ป่วยมักมีประวัติในการสัมผัสสัตว์ปีกหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต้องคลุกคลีกับสัตว์ปีก เช่น นกพิราบ หรือ มูลนกพิราบ
อาการที่สำคัญ
โดยมากพบว่าผู้ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้หวัดนกชนิด H7N9 นั้นมักจะมีอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก ซึ่งมีอาการคล้ายคลึงกับอาการของโรคไข้หวัดใหญ่โดยไม่ได้จำเพาะเจาะจงกับโรคไข้หวัดนก ได้แก่ ไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย ปวดท้อง ท้องร่วง อาเจียน มีน้ำมูกไอและเจ็บคอ และอาจพบ เลือดกำเดา หรือมีเลือดออกตามไรฟัน หากมีอาการแทรกซ้อนอาจมีอาการรุนแรงถึงปอดบวมและเกิดระบบหายใจล้มเหลว (Acute Respiratory Distress Syndrome) ได้ โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ
การป้องกัน
เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดถึงกลไกการติดเชื้อ ดังนั้นวิธีที่สามารถป้องกันการติดเชื้อเบื้องต้นได้ จะเป็นวิธีที่หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ติดเชื้อไวรัส ได้แก่ ล้างมือก่อนและหลังปรุงอาหาร ล้างมือหลังจากดูแลสัตว์ หรือหลังการดูแลผู้ป่วย สามารถเลือกรับประทานหมูหรือไก่ได้ แต่จะต้องปรุงสุกโดยใช้อุณหภูมิมากกว่า 70 องศาเซลเซียสและหลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์ที่ป่วยหรือป่วยตาย
การรักษา
มีการศึกษาว่ายา Oseltamivir หรือยา Zanamevir สามารถใช้รักษาโรคไข้หวัดนก H7N9 ได้ แต่การรักษาควรเริ่มโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นถ้าหากมีอาการเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ร่วมกับประวัติที่เคยสัมผัสสัตว์ปีกภายใน 7-10 วันที่ผ่านมา หรือมีประวัติสัมผัสกับผู้ที่เป็นไข้หวัดนก หรืออยู่ในชุมชนที่มีการระบาดของไข้หวัดนก ในช่วง 14 วัน ให้รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้รับการวินิจฉัยและได้รับยาอย่างทันท่วงที
การได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่* สามารถลดความรุนแรงของอาการจากโรคไข้หวัดนกได้
ที่มา: สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข